การทำศัลยกรรมหน้าอก วิธีผ่าตัด
เสริมหน้าอก Breast Augmentation
เป็นการผ่าตัดที่มีความนิยมเป็นอย่างมากทั่วโลก และมีวิวัฒนาการมาโดยตลอด ในปัจจุบันนี้อาจกล่าวได้ว่า วัสดุเสริมหน้าอกที่ดีและเทคนิคการผ่าตัดที่ดีมากขึ้น ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีผลแทรกซ้อนต่ำเทคนิคทางด้านการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอก ในปัจจุบันนี้มีการผ่าตัดเสริมหน้าอกหลากหลายวิธีด้วยกัน สามารถแบ่งได้ดังนี้
- การเสริมหน้าอกโดยใช้ถุงเต้านมเทียม (Breast implant) วิธีนี้ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
- การเสริมหน้าอกโดยใช้ถุงเต้านมเทียมร่วมกับการฉีดไขมันตนเอง (Composite Breast implant with Autologous Lipoplasty)
- การเสริมหน้าอกโดยการฉีดไขมันตนเองเพียงอย่างเดียว ร่วมกับการทำสเต็มเซล (Cell Assisted Lipoplasty – CAL)
การเสริมหน้าอกโดยใช้ถุงเต้านมเทียม (Breast implant)
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งถุงซิลิโคนในปัจจุบันมีความทนทานสูง เจลภายในเป็นลักษณะจับเป็นก้อนแบบ Cohesive gel หรือ Gummy bear ทำให้ปลอดภัย ลดปัญหาการซึมของซิลิโคน (Gel bleed) และวิธีการทำผ่าตัดก็มีความหลากหลาย ขึ้นกับหน้าอกแต่ละแบบ แต่ละประเภทแผลผ่าตัด มี 3 ที่ คือ รักแร้ ปานนม และราวนม
แผลที่รักแร้
ข้อดี คือ
- แผลเป็นน้อยที่สุด และแผลซ่อนอยู่ที่รักแร้ โอกาสเกิดแผลนูนต่ำมาก มีน้อยกว่า 1 % เนื่องจากรักแร้ มีความตึงน้อยที่สุด
- มีอาการเจ็บกว่า ที่ฐานหน้าอก ทั้งนี้ ขึ้นกับวิธีผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องจะช่วยลดอาการปวดลงได้ 50 %
- อัตราการเกิดผังผืดรัดถุงเต้านม ขึ้นกับวิธีการผ่าตัด
การผ่าตัดทางรักแร้ ปัจจุบันมี 2 วิธี
- การผ่าตัดทางรักแร้แบบเดิม (Conventional method) เกิดผังผืด 5-8 %
- การผ่าตัดผ่านกล้องทางรักแร้ (Transaxillary Endoscopic-Assisted) อัตราการเกิดผังผืด 1 % และฟื้นตัวเร็วขึ้น
แผลที่ปานนม
ข้อดี คือ
- มีอาการเจ็บน้อย กว่ารักแร้แบบเดิม
- แผลเป็นมองเห็นได้โดยตรงขณะยืน
- โอกาสเกิดพังผืด 10 % โอกาสเกิดการติดเชื้อสูงขึ้น เมื่อเทียบกับแผลอื่นเพราะผ่าตัดผ่านท่อน้ำนม
- ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยม
แผลที่ราวนม
ข้อดี คือ
- มีอาการเจ็บน้อย เทียบเท่าการส่องกล้องทางรักแร้ แผลซ่อนในท่ายืน เพราะหน้าอกหย่อนมาบัง
- มีอัตราการเกิดผังผืดรัดถุงเต้านมน้อย เทียบเท่าการผ่าตัดทางรักแร้แบบส่องกล้อง (1%)
- สามารถเห็นแผลเป็นได้เวลานอนลง หรือ เวลาโกยเต้านมขึ้น
- ความเสี่ยงเกิดแผลนูนสูงกว่ารักแร้ 5- 10%
- นิยมในคนไข้ชาวตะวันตกผิวขาว เพราะมีปัญหาแผลเป็นนูนน้อยกว่าคนเอเชียมาก หรือในคนเอเชียที่ยอมรับความเสี่ยงแผลเป็นนูนที่ราวนมได้
การเลือกตำแหน่งแผล ขึ้นกับแพทย์และผู้ป่วย
- ในกรณีที่โครงสร้างหน้าอกมีลักษณะเฉพาะ แพทย์จะให้คำแนะนำเรื่องแผลที่เหมาะสมให้
- กรณีที่โครงสร้างสามารถเลือกตำแหน่งแผล ได้หลายตำแหน่ง คนไข้สามารถเลือกระบุแผลที่ต้องการได้ ถ้าต้องการไม่ให้มีรอยแผลเป็นใกล้บริเวณเต้านม และซ่อนจากคนใกล้ชิด แนะนำ แผลรักแร้ ถ้าต้องการซ่อนแผลจากคนอื่น ในกรณีชอบแต่งกายเสื้อแขนกุด แนะนำแผลราวนม แต่ต้องรับความเสี่ยงแผลนูนที่สูงกว่ารักแร้ อย่างไรก็ตาม แผลที่รักแร้มักจะดีมาก ทั่วไปก็สามารถใส่เสื้อแขนกุดได้ปกติ
การเสริมหน้าอกด้วยถุงเต้านมเทียม ร่วมกับการฉีดไขมันตนเอง (Composite breast implant with Lipoplasty)
เป็นการเพิ่มขนาดให้เกินกว่าที่ข้อจำกัดของซิลิโคนจะทำได้ หรือช่วยให้การเสริมหน้าอก ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เพราะได้เนื้อเยื่อที่นิ่มของไขมันมาช่วยเสริมรอบซิลิโคนในบริเวณที่เนื้อเยื่อบาง เสริมแต่งบริเวณร่องอกให้ดูชิดมากขึ้น ตามที่ต้องการ ลดปัญหาการคลำขอบถุงซิลิโคน และได้ประโยชน์จากการดูดไขมันส่วนเกินจากหน้าท้อง หรือต้นขา (secondary gain) สำหรับค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเพียงอย่างเดียวการเสริมหน้าอกด้วยการฉีดไขมันตนเองเพียงอย่างเดียว ร่วมกับสเต็มเซล (CAL -Cell assisted Lipoplasty)
เป็นการใช้ไขมันในปริมาณที่มากในการเสริมเต้านม ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสเต็มเซล เพื่อช่วยในการคงอยู่ของเซลล์ไขมัน ข้อดีของการฉีดไขมันตนเองเพียงอย่างเดียว คือ เป็นการใช้เนื้อเยื่อไขมันของคนไข้ ไม่มีการใช้ถุงเต้านมเทียม จึงทำให้ไม่เกิดปัญหาพังผืดรัดถุงเต้านม และได้ประโยชน์ในการลดไขมันส่วนเกินของคนไข้ จากหน้าท้อง หรือต้นขา (Secondary gain) ไปพร้อมกัน และที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เทคนิคนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก คือได้ความเป็นธรรมชาติมากที่สุด เวลาสัมผัสเหมือนเต้านมจริง และไม่มีแผลเป็นจากการผ่าตัดศัลยแพทย์ต้องมีเทคนิคในการเก็บและฉีดไขมันที่ดี ค่าใช้จ่ายโดยรวมสูงกว่าการเสริมด้วยซิลิโคนอย่างเดียว ข้อจำกัดของวิธีนี้ คือสามารถเพิ่มขนาดได้ประมาณ 1 คัพไซส์ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อเต้านมธรรมชาติอยู่พอสมควรและต้องการเพิ่มขนาดปานกลาง หรือหลังการมีบุตรแล้วเต้านมมีขนาดลดลง เพื่อเติมส่วนเนินอกให้ได้รูป