การทำศัลยกรรมหน้าอก วิธีผ่าตัด


เสริมหน้าอก Breast Augmentation

เป็นการผ่าตัดที่มีความนิยมเป็นอย่างมากทั่วโลก และมีวิวัฒนาการมาโดยตลอด ในปัจจุบันนี้อาจกล่าวได้ว่า วัสดุเสริมหน้าอกที่ดีและเทคนิคการผ่าตัดที่ดีมากขึ้น ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีผลแทรกซ้อนต่ำ



เทคนิคทางด้านการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอก ในปัจจุบันนี้มีการผ่าตัดเสริมหน้าอกหลากหลายวิธีด้วยกัน สามารถแบ่งได้ดังนี้
  1. การเสริมหน้าอกโดยใช้ถุงเต้านมเทียม (Breast implant) วิธีนี้ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
  2. การเสริมหน้าอกโดยใช้ถุงเต้านมเทียมร่วมกับการฉีดไขมันตนเอง (Composite Breast implant with Autologous Lipoplasty)
  3. การเสริมหน้าอกโดยการฉีดไขมันตนเองเพียงอย่างเดียว ร่วมกับการทำสเต็มเซล (Cell Assisted Lipoplasty – CAL)
สำหรับแต่ละวิธีนั้น มีข้อดี ข้อเสียและค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้ และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงผลดีผลเสียที่จะได้รับในแต่ละวิธี

การเสริมหน้าอกโดยใช้ถุงเต้านมเทียม (Breast implant)

เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งถุงซิลิโคนในปัจจุบันมีความทนทานสูง เจลภายในเป็นลักษณะจับเป็นก้อนแบบ Cohesive gel หรือ Gummy bear ทำให้ปลอดภัย ลดปัญหาการซึมของซิลิโคน (Gel bleed) และวิธีการทำผ่าตัดก็มีความหลากหลาย ขึ้นกับหน้าอกแต่ละแบบ แต่ละประเภท

แผลผ่าตัด มี 3 ที่ คือ รักแร้ ปานนม และราวนม

แผลที่รักแร้
ข้อดี คือ
  • แผลเป็นน้อยที่สุด และแผลซ่อนอยู่ที่รักแร้ โอกาสเกิดแผลนูนต่ำมาก มีน้อยกว่า 1 % เนื่องจากรักแร้ มีความตึงน้อยที่สุด
ข้อเสีย คือ
  • มีอาการเจ็บกว่า ที่ฐานหน้าอก ทั้งนี้ ขึ้นกับวิธีผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องจะช่วยลดอาการปวดลงได้ 50 %
  • อัตราการเกิดผังผืดรัดถุงเต้านม ขึ้นกับวิธีการผ่าตัด

การผ่าตัดทางรักแร้ ปัจจุบันมี 2 วิธี

  1. การผ่าตัดทางรักแร้แบบเดิม (Conventional method) เกิดผังผืด 5-8 %
  2. การผ่าตัดผ่านกล้องทางรักแร้ (Transaxillary Endoscopic-Assisted) อัตราการเกิดผังผืด 1 % และฟื้นตัวเร็วขึ้น
ในปัจจุบันการส่องกล้องเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากและ เป็นเทคนิคที่ดีที่สุดในการผ่าตัดทางรักแร้เพราะมีอาการเจ็บน้อยกว่า พักฟื้นสั้น พังผืดน้อย และซ่อนแผลไว้ที่รักแร้ อีกทั้งสามารถแก้ไขรูปทรงหน้าอกที่อาจมีปัญหาได้ดีขึ้น

แผลที่ปานนม
ข้อดี คือ
  • มีอาการเจ็บน้อย กว่ารักแร้แบบเดิม
ข้อเสีย คือ
  • แผลเป็นมองเห็นได้โดยตรงขณะยืน
  • โอกาสเกิดพังผืด 10 % โอกาสเกิดการติดเชื้อสูงขึ้น เมื่อเทียบกับแผลอื่นเพราะผ่าตัดผ่านท่อน้ำนม
  • ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยม

แผลที่ราวนม
ข้อดี คือ
  • มีอาการเจ็บน้อย เทียบเท่าการส่องกล้องทางรักแร้ แผลซ่อนในท่ายืน เพราะหน้าอกหย่อนมาบัง
  • มีอัตราการเกิดผังผืดรัดถุงเต้านมน้อย เทียบเท่าการผ่าตัดทางรักแร้แบบส่องกล้อง (1%)
ข้อเสียคือ
  • สามารถเห็นแผลเป็นได้เวลานอนลง หรือ เวลาโกยเต้านมขึ้น
  • ความเสี่ยงเกิดแผลนูนสูงกว่ารักแร้ 5- 10%
  • นิยมในคนไข้ชาวตะวันตกผิวขาว เพราะมีปัญหาแผลเป็นนูนน้อยกว่าคนเอเชียมาก หรือในคนเอเชียที่ยอมรับความเสี่ยงแผลเป็นนูนที่ราวนมได้

การเลือกตำแหน่งแผล ขึ้นกับแพทย์และผู้ป่วย

  • ในกรณีที่โครงสร้างหน้าอกมีลักษณะเฉพาะ แพทย์จะให้คำแนะนำเรื่องแผลที่เหมาะสมให้
  • กรณีที่โครงสร้างสามารถเลือกตำแหน่งแผล ได้หลายตำแหน่ง คนไข้สามารถเลือกระบุแผลที่ต้องการได้ ถ้าต้องการไม่ให้มีรอยแผลเป็นใกล้บริเวณเต้านม และซ่อนจากคนใกล้ชิด แนะนำ แผลรักแร้ ถ้าต้องการซ่อนแผลจากคนอื่น ในกรณีชอบแต่งกายเสื้อแขนกุด แนะนำแผลราวนม แต่ต้องรับความเสี่ยงแผลนูนที่สูงกว่ารักแร้ อย่างไรก็ตาม แผลที่รักแร้มักจะดีมาก ทั่วไปก็สามารถใส่เสื้อแขนกุดได้ปกติ
การเลือกขนาดซิลิโคน ควรเลือกที่ไม่ใหญ่เกินไปเกินกว่าโครงสร้างจะรับได้ ทางการแพทย์มีข้อกำหนดอยู่ เรื่องความกว้างของลำตัว ถือเป็นขอบเขตของการวางซิลิโคน ซึ่งซิลิโคนที่มีขนาดใหญ่จะเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าขนาดพอดี

การเสริมหน้าอกด้วยถุงเต้านมเทียม ร่วมกับการฉีดไขมันตนเอง (Composite breast implant with Lipoplasty)

เป็นการเพิ่มขนาดให้เกินกว่าที่ข้อจำกัดของซิลิโคนจะทำได้ หรือช่วยให้การเสริมหน้าอก ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เพราะได้เนื้อเยื่อที่นิ่มของไขมันมาช่วยเสริมรอบซิลิโคนในบริเวณที่เนื้อเยื่อบาง เสริมแต่งบริเวณร่องอกให้ดูชิดมากขึ้น ตามที่ต้องการ ลดปัญหาการคลำขอบถุงซิลิโคน และได้ประโยชน์จากการดูดไขมันส่วนเกินจากหน้าท้อง หรือต้นขา (secondary gain) สำหรับค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเพียงอย่างเดียว

การเสริมหน้าอกด้วยการฉีดไขมันตนเองเพียงอย่างเดียว ร่วมกับสเต็มเซล (CAL -Cell assisted Lipoplasty)

เป็นการใช้ไขมันในปริมาณที่มากในการเสริมเต้านม ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสเต็มเซล เพื่อช่วยในการคงอยู่ของเซลล์ไขมัน ข้อดีของการฉีดไขมันตนเองเพียงอย่างเดียว คือ เป็นการใช้เนื้อเยื่อไขมันของคนไข้ ไม่มีการใช้ถุงเต้านมเทียม จึงทำให้ไม่เกิดปัญหาพังผืดรัดถุงเต้านม และได้ประโยชน์ในการลดไขมันส่วนเกินของคนไข้ จากหน้าท้อง หรือต้นขา (Secondary gain) ไปพร้อมกัน และที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เทคนิคนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก คือได้ความเป็นธรรมชาติมากที่สุด เวลาสัมผัสเหมือนเต้านมจริง และไม่มีแผลเป็นจากการผ่าตัด

ศัลยแพทย์ต้องมีเทคนิคในการเก็บและฉีดไขมันที่ดี ค่าใช้จ่ายโดยรวมสูงกว่าการเสริมด้วยซิลิโคนอย่างเดียว ข้อจำกัดของวิธีนี้ คือสามารถเพิ่มขนาดได้ประมาณ 1 คัพไซส์ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อเต้านมธรรมชาติอยู่พอสมควรและต้องการเพิ่มขนาดปานกลาง หรือหลังการมีบุตรแล้วเต้านมมีขนาดลดลง เพื่อเติมส่วนเนินอกให้ได้รูป

  • Share: